เทศน์บนศาลา

ธรรมะลวง

๑o ก.พ. ๒๕๕๖

 

ธรรมะลวง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ กว่าจะได้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่ยาวไกลมาก เวลาได้ธรรมมาแล้วนะ เผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมด้วยความเมตตา ด้วยความกรุณาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่วางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราได้ศึกษา ให้เราได้ใคร่ครวญ

ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เราเกิดมากับโลก เราศึกษามามันก็เป็นเรื่องโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ นี่ ๖๑ องค์รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก เขาต้องการฟังธรรม เขาต้องการธรรมโอสถเพื่อจะรักษาหัวใจของเขา”

เวลาพระอรหันต์ ๖๑ องค์เผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากที่นั่นไปก็ไปเอาชฏิล ๓ พี่น้อง ชฏิล ๓ พี่น้องเขาเป็นอะไร? เขาเป็นอาจารย์นะ เขาเป็นศาสดาเหมือนกัน เวลาเขาเป็นศาสดา เห็นไหม นี่ถ้าธรรมะไม่แท้จริงมันเป็นแบบนั้น ธรรมะไม่แท้จริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทรมานชฏิล ๓ พี่น้อง นี่ให้เขาวางมิจฉาทิฏฐิของเขาซะ ถ้าเขาวางมิจฉาทิฏฐิของเขา นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ก็เทศน์อาทิตตปริยายสูตร ตาเป็นของร้อน หูเป็นของร้อน รูปเป็นของร้อน สรรพสิ่งเป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะโทสัคคินา โมหัคคินา ร้อนเพราะมันเป็นไฟ มันเป็นราคะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ สิ่งที่มันร้อนๆ ร้อนเพราะมันเผาลนจิตใจไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไป สิ่งที่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมสัจจะความจริง ชฏิล ๓ พี่น้อง นี่เขาได้เป็นพระอรหันต์ ๑,๕๐๐ องค์ ตั้งแต่ ๕๐๐ องค์ ๓๐๐ องค์ ๑,๐๐๓ องค์

นี่สิ่งที่เขาเป็นจริง เห็นไหม ถ้าธรรมะเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจจะ เป็นความจริง เราจะได้มรรคผลนิพพานเป็นจริง แต่เพราะเราศึกษาด้วยความเป็นโลกของเรา ถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมา ไม่เป็นความจริงขึ้นมา นี่เราศึกษา เราประพฤติปฏิบัติกันมาเพื่อความจริงของเรา ถ้าเพื่อความจริงของเรานะ เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราต้องมีความมั่นคงของเรา

ในเมื่อเราเกิดมากับโลก ความรู้สึกนึกคิดเราก็เป็นโลก สิ่งที่เป็นโลก เห็นไหม โลกคือโลกียปัญญา สิ่งนี้โลกียปัญญา ศึกษาธรรมขนาดไหนมันก็เป็นเรื่องของโลกๆ ถ้าเรื่องของโลกๆ ดูสิ ดูความเป็นไปของโลกในปัจจุบันนี้ นี่เวลาเศรษฐกิจมันรุ่งเรืองขึ้นมา ถ้าเศรษฐกิจมันรุ่งเรืองขึ้นมา ทุกคนจะมีความสุข มีความสุขเพราะมีหน้าที่การงานทำ คนมีหน้าที่การงานทำ คนมีทรัพย์สินเงินทองขึ้นมา นี่จับจ่ายใช้สอย ตัวเองก็มีความสุข ก็จะดูแลรักษาพ่อแม่ได้ ทั้งๆ ที่มีเงิน มีทองให้ส่งเสียลูกมีการศึกษาได้ เลี้ยงดูลูกของเราได้ เพราะอะไร

เพราะในเมื่อเศรษฐกิจมันดี ถ้าเศรษฐกิจมันดี คนก็มีหน้าที่การงานทำ พอคนมีหน้าที่การงานทำ เขาก็มีเงินใช้สอยของเขาโดยธรรมชาติของเขา นี่เวลาเศรษฐกิจรุ่งเรืองขึ้นมา เห็นไหม พอรุ่งเรืองขึ้นมา แล้วถึงเวลาเศรษฐกิจตกต่ำขึ้นไป ผู้ที่เขาจะช่วยเหลือเจือจานกัน ผู้ที่มีอิทธิพล รัฐไหนที่มีอิทธิพล เขาก็พิมพ์แบงก์ของเขาออกมา พิมพ์แบงก์ของเขาออกมา นี่เศรษฐกิจแบบนี้ออกมามันเป็นทุน สิ่งที่ว่าเป็นทุนๆ แล้วมันลงมา เศรษฐกิจมันจะเป็นความจริงไหมล่ะ เศรษฐกิจมันไม่เป็นความจริงเพราะเหตุใด เศรษฐกิจไม่เป็นความจริงเพราะมันไม่ลงถึงรากหญ้า มันไม่ลงถึงการผลิตไง มันเป็นเศรษฐกิจของทุนใช่ไหม ทุนก็ไปอยู่ที่ธนาคารไง

เงินท่วมโลกๆ แต่ทุกคนไม่มีงานทำ แต่ว่าเงินท่วมโลก เห็นไหม ซื้อทุกอย่างได้ทั้งนั้นแหละ ซื้อมาแล้ว นี่อาหารมันมีที่ไหน อาหารมันกินได้ไหม สิ่งที่ไม่เป็นความจริงมันก็ไม่เป็นประโยชน์กับโลก ถ้าไม่เป็นความจริงมันก็เป็นเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เรื่องเป็นความเชื่อถือ ถ้ามีความเชื่อถือกัน สิ่งนั้นมันก็ยังเป็นสิ่งที่เขายอมรับกันอยู่ ถ้าไม่เชื่อถือกันมันก็หมดค่านะ สิ่งที่หมดค่า โลกนี้มันหมดค่าไปหมด นี่เศรษฐกิจลวง มันไม่ใช่ลงทุนตามความเป็นจริง ถ้าเศรษฐกิจที่ตามความเป็นจริงมันต้องมีการผลิต มันมีการผลิต มันมีการกระทำ คนมีหน้าที่การงานทำ มันหมุนเป็นลูกโซ่ไป มันก็เป็นเศรษฐกิจขึ้นมาเพื่อความเป็นอยู่ เพื่อความสุข ความมั่นคงของชีวิต เพื่อความสุขสบายของโลก นี่พูดถึงโลกนะ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สัจธรรมอันนี้เป็นความจริงๆ เวลาชฏิล ๓ พี่น้องของเขา เขาก็เป็นศาสดาของเขาเหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทรมาน เห็นไหม ในเมื่อความไม่จริง มันจะพิสูจน์กับความจริงได้อย่างใด ความจริงมันต้องมีคุณค่ามากกว่าอยู่แล้ว

ชฏิล ๓ พี่น้องทิ้งนะ ทิ้งทิฏฐิมานะความเห็นของเขา ทิ้งสิ่งที่เขายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความสุขของเขา เขาก็มีความรู้ของเขา ทำไมเขาทิ้งของเขาล่ะ? เขาทิ้งของเขาเพราะเหตุผลมันสู้กันไม่ได้ไง เหตุผลมันสู้ความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้าเหตุผลสู้ความเป็นจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องเป็นความจริงขึ้นมาด้วย ถ้าเหตุผล เหตุผลนี่ตรรกะ เวลาตรรกะใช้เหตุผลพิจารณาเอามันก็เป็นความลวง

“ธรรมะลวง” นี่ธรรมะลวงเพราะมันไม่เป็นความจริง มันลวงขึ้นมา แล้วเป็นโลก เห็นไหม เป็นโลกมันมีอยู่ไหม ถ้ามันเป็นโลก โลกก็มีสมมุติตามความเป็นจริงของโลก ถ้าสมมุติตามความเป็นจริงของโลก นี่ถ้ามันมีตรรกะ มีความรู้สึก มันก็มีความรู้สึกของเราเหมือนกัน มันก็มีตรรกะของเรา มันมีปัญญาของเรา แต่มันเป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาของโลก ถ้าปัญญาของโลก สิ่งที่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นแหละ

ถ้าเป็นปัญญาของโลก มันสงบระงับได้ไหม? มันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นวัฒนธรรม เป็นความเชื่อของเรา พอความเชื่อของเขา ถ้าเรามีความเชื่อมั่น มีศรัทธา ศรัทธาความเชื่อของเราแล้วเราทำตามนั้น ทำตามนั้นแล้วเชื่ออย่างนั้น มันก็ควบคุมความรู้สึกนึกคิดไว้อย่างนั้น มันมีความเห็นอย่างนั้น ถ้าความเห็นอย่างนั้นมันไม่เป็นความจริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อาทิตตปริยายสูตรให้ชฏิล ๓ พี่น้องฟัง นี่เขามีความเห็นของเขา เพราะเขาบูชาไฟมาเหมือนกัน เขาบูชาไฟ ความเป็นของร้อนเขาก็เห็นของเขา เขาก็มีตรรกะของเขา เวลาบอกว่า “ไฟมันเป็นของร้อน โทสะก็เป็นของร้อน โมหะก็เป็นของร้อน นี่ถ้าเป็นของร้อน เธอควรเห็นโทษของมันไหม ถ้าเห็นโทษขึ้นมา เธอจะวางหรือไม่วาง เธอจะปล่อยหรือไม่ปล่อย” ถ้าปล่อยวางของมันตามความเป็นจริง เพราะเขามีพื้นฐานของเขา

เรื่องของโลกมันเป็นพื้นฐานของโลก แต่ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสันทิฏฐิโก มันมีความเป็นจริงในใจของชฏิล ๓ พี่น้อง ถ้าชฏิล ๓ พี่น้องเขาเห็นตามความเป็นจริง แล้วเขาปล่อยวางตามความเป็นจริง เขาก็เป็นความจริงของเขาขึ้นมา นี่ธรรมะจริงๆ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ปัญจวัคคีย์ เทศน์ยสะขึ้นมา เห็นไหม “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก”

สิ่งที่เร่าร้อนนัก เพราะเขามีแต่ตัณหาความทะยานอยาก มีแต่โทสะ โมหะอยู่ในหัวใจของเขา เวลาเขามีความทุกข์ร้อนของเขา ถ้าความทุกข์ร้อน ฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาลเขาปฏิบัติของเขามาเหมือนกัน การปฏิบัติอย่างนั้น ดูสิ เขาทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบอย่างนั้น ความสงบอย่างนั้นเขามีสมาบัติ เขาเหาะเหินเดินฟ้า เขารู้วาระต่างๆ เขาเข้าใจเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่เขาได้ประโยชน์สิ่งใดขึ้นมาในใจของเขาล่ะ เห็นไหม นี่มันเป็นธรรมะลวง การลงทุนไม่ใช่ลงทุนตามความเป็นจริง มันไม่มีการผลิตขึ้นมา ถ้ามันมีการผลิตขึ้นมา มันมีมรรคขึ้นมา มีมรรคมีผลขึ้นมามันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงมันมาจากไหนล่ะ

เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ เรามาวัดมาวาเพื่อปฏิบัติ เราก็ต้องการค้นหาความจริง เราอยากได้ความจริง ความจริงที่สุดส่วน ความจริงที่สุดยอดของความจริง เราปฏิบัติของเราขึ้นมา เราต้องการความจริงนั้น แล้วความจริงมันมาจากไหน

ถ้าความจริงทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ของเขา ความจริงนี่ต้องเป็นทฤษฏีของเขา เขาต้องพิสูจน์ของเขา ตรวจสอบของเขา มันให้ค่าของเขา ให้ค่าของเขาทางวิทยาศาสตร์เข้ามา มันเป็นสสารต่างๆ มันไม่มีชีวิต มันไม่สามารถปลดทุกข์ได้ แต่ในเมื่อความจริงของเราในหัวใจของเรา เวลามันฟุ้งซ่าน มันเร่าร้อนต่างๆ ทั้งๆ ที่เราตรึกในธรรม เราอยากได้ธรรมะ มันก็ให้ผลเป็นความเร่าร้อนของเรา ตัณหาซ้อนตัณหาไง ปฏิบัติแล้วไม่สมความปรารถนามันก็มีความฝังใจของเรา

ความฝังใจนะ ปฏิบัติเมื่อไหร่มันจะถึงที่สุด เมื่อไหร่มันจะเป็นความจริงขึ้นมา เราก็มีความปรารถนาของเรา นี่มันซ้อนมา ถ้าเราอยากได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นไหม นี่อธิษฐานบารมี อธิษฐานนะว่าอยากจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสร้างบุญญาธิการไป นี่มันกี่ภพกี่ชาติล่ะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทำไมท่านดำรงเจตนารมณ์ของท่านได้ตลอดมา แล้วของเรา เราชีวิตเดียวของเราเท่านี้ ชีวิตเราก็มีเท่านี้ เราประพฤติปฏิบัติของเราก็เป็นความจริงเท่านี้ แล้วเราตั้งเป้าหมายของเรา แล้วเราพยายามปฏิบัติของเราขึ้นไป เราจะไปรีบด่วนสิ่งใดล่ะ

เวลาเราตั้งใจของเรา เห็นไหม เราตั้งใจ แล้วพอตั้งใจ กำหนดเวลาปั๊บ ปฏิบัติขึ้นไปมันไม่ได้ผลๆ มีความทุกข์ร้อน เร่าร้อนใจ...เร่าร้อนใจไปทำไม เร่าร้อนใจไป เห็นไหม ถ้าเร่าร้อนใจ นั่นล่ะเราเอาฟืนเอาไฟสุมใจเราโดยที่เราไม่รู้ตัวสิ่งใดเลย สิ่งที่เราเจตนาดีนะ ถ้าเราเจตนาดี ความตั้งใจดี เราทำของเรา เราตั้งเป้าของเรา แล้วเราทำของเรา นี่ตั้งสติขึ้นมา ทำความสงบของใจให้ได้ ถ้าใจมันสงบเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามา นี่มันมีทุน ถ้าธรรมะจริงมันมีทุนมีรอนของมัน แล้วมันต้องมีการผลิตของมัน มันต้องมีความเป็นจริงของมันขึ้นมา ไม่ใช่ธรรมะลวง

ถ้าธรรมะลวง จิตใจถ้ามันสกปรกนะ นี่มันขี่หลังเสือ สิ่งที่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เราก็รู้ได้ เวลาเราฟังธรรมของครูบาอาจารย์ เราก็รู้ได้ เห็นไหม สัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ แล้วมันจินตนาการ ถ้ามีสัญญาแล้วมีจินตนาการไป เห็นไหม ธรรมะลวง ถ้าธรรมะลวง ลงทุนลวง เราลวงชีวิตของเรา เราทำแล้วมันไม่ได้ผลตามความเป็นจริงของเรา แล้วเวลาเราลวงเราแล้ว ลวงตัวเองจนเชื่อ

เหมือนเศรษฐกิจ นี่เขาพิมพ์แบงก์ออกมา พิมพ์แบงก์ออกมา พิมพ์แบงก์ออกมามันก็อยู่ในพวกนายทุนนั่นล่ะ มันก็เอานายทุนไปบีบคั้นคนอื่น มันเดือดร้อนกันไปหมด เห็นไหม เพราะอะไร เพราะอิทธิพล เพราะความเห็นแก่ตัว แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเราด้วยตรรกะ ด้วยความรู้สึกนึกคิดของเรา นี่ธรรมะลวงๆ เราจินตนาการได้ทั้งนั้นแหละ แล้วจินตนาการมามันทำลายใครล่ะ มันทำลายใคร? มันทำลายเรานะ แต่เวลาเป็นธรรมะจริงมันทำลายใครล่ะ? มันทำลายกิเลสนะ ถ้ามันทำลายกิเลส เห็นไหม จิตใจจะชื่นบาน จิตใจจะมีหลักมีเกณฑ์ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา คนที่มีหลักมีเกณฑ์ คนที่มีสติปัญญา จะทำสิ่งใดผิดพลาดมีมากไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

ความไม่ประมาท ไม่เลินเล่อ นั่นล่ะเรามีสติปัญญาของเรา รักษาใจของเรา แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นไป โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย

แม้แต่กิเลส เห็นไหม กิเลส มันเป็นผลงานของกิเลส มันลวงเรา นี่ลงทุนลวง ธรรมะลวง ถ้าธรรมะลวง พอตรรกะ สัญญา แล้วจินตนาการไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันทำลายโอกาสเรา แล้วทำลายโอกาสเรานะ ทำลายโอกาส ถ้ามันขี่หลังเสือมันก็จะพูดของมันไปว่า “สิ่งนั้นเป็นธรรมๆ เทศนาว่าการธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะผิดไปที่ไหน”

มันผิดไง ผิดเพราะเราไม่รู้จริง เราไม่รู้จริง เราไม่รู้ถึงกิริยาการกระทำของมัน เราไม่มีมัคโคทางอันเอก ถ้าเราไม่มีทางอันเอก เราไม่เคยเห็นทางอันเอกนั้น เราจะพาจิตใจของเราพ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากไปไหน เราจะพาใจของเราเข้าไปสู่อุ้งมือมาร ตัณหาความทะยานอยาก ดูสิ อวิชชามันครอบคลุมหัวใจเราอยู่แล้ว แล้วเราพาหัวใจของเรายอมจำนนกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่ธรรมะลวงไง ลวงจิตใจของเราให้เสียโอกาสของเราไป แล้วเราเสียโอกาสของเราไป ถ้าขี่หลังเสือแล้ว จิตใจถ้าหยาบช้าขึ้นมามันก็ว่าของมันไปตามตรรกะ ตามสัญญาที่ได้จินตนาการมา มันเป็นประโยชน์กับใคร? ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย

แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ สิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม ถ้าการลงทุนจริง เราจะลงทุนกันจริงๆ เราจะปฏิบัติกันจริงๆ ถ้าเราได้ผล เราก็ได้ผลเพื่อหัวใจของเรา ถ้าเราจะไม่ได้ผล เราก็ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็สร้างสมบุญญาธิการของเราขึ้นไป เราจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจสิ่งใด

การกระทำในโลกนี้มันจะมีสิ่งใด เห็นไหม ดูสิ คนอยากมั่งอยากมีเขาก็ต้องทำทานของเขา ทานนี่ทำให้คนร่ำคนรวย คนอยากรูปสวยงามก็ถือศีล ศีลนี่ทำให้คนมีรูปร่างสวยงาม ถ้าคนอยากมีปัญญาล่ะ คนอยากมีปัญญาขึ้นมา คนอยากมีปฏิภาณไหวพริบ เห็นไหม นี่ฝึกหัดภาวนา ฝึกหัดภาวนา การภาวนาจะให้เกิดปัญญาขึ้นมา ถ้าเกิดปัญญา นี่ฝึกฝนจิตใจขึ้นมาให้มันเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันก็เวียนตายเวียนเกิดไปกับโลกนี้ ถ้ามันเวียนตายเวียนเกิดไปกับโลกนี้ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็ฝึกฝนใจเรา เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมีกับใจของเรา

ถ้าเพื่ออำนาจวาสนาบารมีกับใจของเรา เห็นไหม ลงทุนจริงๆ ผู้ที่ประสบความสำเร็จทางโลกที่เขาประกอบธุรกิจของเขา เขามีความหมั่นเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ เขาทำด้วยความซื่อสัตย์ เขามีความซื่อสัตย์ของเขา มีความไว้วางใจของเขา จนสังคมเขายอมรับนับถือ คนคนนั้นเป็นคนดี เขาไว้เนื้อเชื่อใจ นี่กิจการของเขาก็มั่นคง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะทำจริงของเรา เราจะซื่อสัตย์กับตัวเราไหม ถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเรา เราทำความเป็นจริงของเรา เราต้องการธรรมะจริง เราไม่ต้องการธรรมะลวง ธรรมะลวง ธรรมะลวงมันได้มาด้วยความง่าย เพราะอะไร เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีอยู่แล้ว ศึกษาขึ้นมา แล้วคนที่มีปฏิภาณ ทำสิ่งใดมันเป็นจินตนาการไปทั้งนั้นเลย แล้วมันจินตนาการไปมันไม่มีเหตุมีผลหรอก

เงินที่พิมพ์ออกมามันก็วนอยู่กับที่ธนาคารนั้นแหละ จะลงทุนก็ไม่กล้า จะทำสิ่งใดก็ไม่ได้ ก็ถือกันไว้อย่างนั้นเอง ถือกันไว้อย่างนั้น แล้วก็เก็งกำไรต่อกับผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ประเทศที่อ่อนแอกว่าก็ไปหวังผลประโยชน์จากเขา ทำอย่างนั้นไปมันก็กระเทือนกันไปหมด แต่เพื่อความอยู่รอดของตัว เพื่อความอยู่รอดของตัว

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าธรรมะลวงๆ มันทำของมันไป มันไม่เป็นจริง แล้วเป็นธรรมไหม เป็นธรรมไหม ถ้าไม่เป็นธรรม สื่อสารมาเราต้องไม่เข้าใจสิ เราสื่อสารออกมาทำไมเราเข้าใจล่ะ ทำไมฟังกันได้ล่ะ? ได้ ได้เพราะมันมีสมมุติบัญญัติ สมมุติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมวินัยมันมีอยู่ แล้วศึกษามาเพื่อสิ่งใด เวลาศึกษาปริยัติมา เขาศึกษามาเพื่อปฏิบัติ เขาไม่ได้ศึกษามาเป็นสมบัติของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะเป็นของเราไปได้อย่างใด

เราศึกษามา ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติ เราปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ เห็นไหม ถ้าเราปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์ ทำของเรา ตั้งสติ ตั้งสติกำหนดพุทโธให้ได้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้ได้ มันต้องมีทุนไง สมาธิก็เป็นทุนอันหนึ่งนะ เป็นทุนกับใจของเรา ถ้าจิตใจของเรามันไม่มีสัมมาสมาธิ สมาธิที่เกิดขึ้นมามันเป็นสมาธิของปุถุชน สมาธิของเรามีอยู่แล้ว ถ้าเราไม่มีสมาธิ เราไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ เราจะไม่มีสติปัญญาประคองตัวมาในปัจจุบันนี้

การประคองตัวมา อยู่ทางโลกเราก็ไม่ทำผิดพลาดไปกับเขา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็จะรักษาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ถ้าเรารักษาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา คนถ้าขาดสติปัญญาจะประคองตัวมาอย่างนี้ได้ไหม คนเขามีสติปัญญามา แต่สติปัญญาอย่างนี้เป็นสติปัญญาของปุถุชน ปุถุชนคือคนหนา ปุถุชนคนหนาใช่ไหม ถ้าเป็นคนหนา เราควบคุมใจได้ยาก คำว่า “เราเป็นคนดีอยู่แล้ว เรารักษาตัวเรามาได้อย่างนี้ ทำไมควบคุมใจได้ยาก”

ควบคุมได้ ควบคุมได้โดยที่ไม่ไหลไปกับกระแสสังคมไง ไม่ไหลไปกับกระแสโลก เห็นไหม เวลาจิต พลังงาน นี่เวลามันเสวยออกมามันเป็นขันธ์ เวลาขันธ์ สัญญามันหมายอะไรล่ะ? มันหมายไปรูป รส กลิ่น เสียงจากภายนอก นี่มันส่งออกไปสู่สังคม แล้วเราควบคุมได้ เราควบคุมใจของเราได้ไม่ให้มันหมายออกไปสู่ข้างนอก ไม่ให้มันหมายไปสู่สังคม สู่กระแสสังคม

นี่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่มนุษย์โง่กว่าสัตว์ โง่กว่าสัตว์เพราะเหตุใด เพราะมนุษย์ติดในกติกาของสังคม เพราะมนุษย์เกิดมาก็ต้องมีกฎหมาย มีประเพณีวัฒนธรรม นี่ไง เวลาสัตว์นะ สัตว์มันก็มีสัญชาตญาณของมัน มันมีอิสระของมัน ถ้าสัตว์ป่า เห็นไหม ถ้าสัตว์เลี้ยงนี่เขาขังมันไว้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมก็ติดกติกาอย่างนั้น ฉะนั้น เวลามันหมายออกไปข้างนอก มันก็เอาสิ่งนั้นมาดีใจเสียใจ ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญาเพื่อเหตุนี้ไง

โดยธรรมชาติของปุถุชน ธรรมชาติของมนุษย์ มันก็มีความรู้สึกนึกคิดออกไป นี่เป็นเรื่องธรรมดา เห็นไหม พลังงานคือจิตปฏิสนธิจิตเกิดมาเป็นเรา ถ้าจิตปฏิสนธิจิตเกิดมาเป็นเราแล้ว เกิดมาเป็นเรานี่สถานะของมนุษย์ เราก็ภูมิใจกันว่าเราเป็นสัตว์ประเสริฐ เราเป็นชาวพุทธ เรามีปัญญา เราเข้าใจเรื่องธรรมะหมดเลย ธรรมะแบบนี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษามาเป็นปริยัติ เป็นสุตมยปัญญา ถ้าเป็นสุตมยปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่ถ้าจะว่าไป เป็นธรรมลวงก็ได้ เพราะว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง แต่เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เพราะใจของเรามันมีอวิชชา เราตีความ เราเข้าใจธรรมสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ชัดๆ อย่างนี้ไม่เข้าใจ บอกว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ สรรพสิ่งนี่เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

ถ้าเป็นอนัตตา แล้วเป็นความจริงไหมล่ะ แล้วเวลาบอกว่าสิ่งที่เป็นอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่ศึกษากันนะ ศึกษาเล่าเรียนกันมาทุกปี สอบกันทุกปีทั้งนั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วเวลามันเกิดความทุกข์ในหัวใจ มันเผาลนในใจนี่ไม่รู้ ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามา มันถึงว่าเป็นธรรมลวงๆ ไง ลวงเพราะอะไร ลวงเพราะอวิชชา ลวงเพราะอวิชชามันไม่รู้ตัวมันเองอยู่แล้ว ถ้ามันศึกษามามันก็ไม่รู้ แล้วโดยสัญชาตญาณของเรา พลังงานมันออกมา เห็นไหม นี่มันเสวยขันธ์ ถ้ามันไม่มีขันธ์ มันแสดงตัวออกมาได้อย่างไร ถ้าว่าแสดง มันก็หมายไปข้างนอก พอหมายไปข้างนอก สิ่งนั้นมันก็เข้ามาให้โทษกับใจ

ถ้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีสติปัญญา เราก็วางสิ่งนั้นได้ ถ้าวางสิ่งนั้นได้ เราก็รักษาใจเราได้ ที่ว่าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราถึงรักษาชีวิตของเราได้มาเป็นคนที่อยู่ในร่องในรอย ไม่ไปตามกระแสของโลก

ทีนี้เราอยากจะมีมรรคมีผล อยากจะได้ธรรมะจริงๆ เห็นไหม ธรรมธาตุๆ ธาตุของธรรม ถ้าธาตุของธรรมนะ ดูสิ ธาตุ ๔ เราก็มี ขันธ์ ๕ เราก็มี อวิชชาความไม่รู้ในหัวใจเต็มเลย แล้วถ้าความรู้ล่ะ รู้ก็ศึกษามา รู้ก็ศึกษาเป็นปริยัติมา เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงของเราไม่ได้ เราต้องการความจริงของเรา เราต้องการธรรมะจริงๆ ถ้าเป็นสติก็สติจริงๆ สมาธิก็เป็นสมาธิจริงๆ ปัญญาก็เป็นปัญญาจริงๆ

แล้วศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามรรค เวลามันเกิดธรรมจักร จักรมันเคลื่อนไหวไป เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา นี่ถ้ามีเหตุนี้ขึ้นมา ดูสิ มันมีการผลิตไง ดูโรงงานที่เขาผลิตสินค้าขึ้นมาสิ เขาต้องซื้อวัตถุดิบ เขาต้องสร้างโรงงานของเขา เขาต้องมีแรงงานของเขา เขาต้องมีวิศวกรของเขา ในเมื่อโรงงานมันผลิตขึ้นมามันจะเกิดประโยชน์มหาศาลเลย เกิดประโยชน์กับชุมชนนั้น เกิดประโยชน์กับผู้ที่เขาผลิตวัตถุดิบนั้นมาเพื่อขายให้เรา

เกิดว่าเราทำงานขึ้นมาแล้ว นี่เราทำงาน เราขายสินค้าไป เรามีเงินเสียภาษี รัฐก็ได้ภาษีจากโรงงานนั้น แล้วชุมชนนั้นก็ได้ประโยชน์จากโรงงานนั้น แล้วคนงานที่โรงงานนั้นเขาก็มีเงินมีทองไปใช้สอยในครอบครัวของเขา ครอบครัวของเขาก็ยังจะต้องส่งเสียกัน มีการศึกษาสืบเนื่องกันต่อไป มันจะเกิดประโยชน์มหาศาลเลยถ้ามันเป็นความจริง เห็นไหม เราศึกษามาเป็นปริยัติมันถึงต้องมีปฏิบัติ การปฏิบัติมันจะเกิดความจริงขึ้นมาจากใจของเรา

ถ้าเกิดปฏิบัติที่ใจของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรา เราตั้งสติ ต้องต่อสู้ ต้องขัดขืนกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันพยายามเอาความหลอกลวงนั้นมาข่มขี่หัวใจ มันบอกมันรู้ มันมีความเข้าใจ มันมีจินตนาการของมัน เห็นไหม นี่ธรรมะลวงๆ ธรรมะลวงเพราะกิเลสมันพาลวง กิเลสมันขัดขวาง กิเลสมันไม่ยอมให้ธรรมเกิดกับใจของเรา

ฉะนั้น เราจะต้องมีสติ เราต้องมีความเข้มแข็ง ถ้าเราจะใช้คำบริกรรม เราจะไม่ยอมให้มันพาเราออกนอกลู่นอกทาง เราต้องตั้งสติของเรา ทำความจริงของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นสติก็สติจริง สติจริงมันก็ยับยั้งได้ ถ้ายับยั้งได้ สติถ้าไม่มีสติปลอม สติมันมีแต่สติอ่อน สติอ่อนก็สติเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าสติมันเข้มแข็งขึ้นมามันก็ยับยั้งได้ พอมันยับยั้งได้ ถ้าเรามีคำบริกรรม คำบริกรรมนั้นก็ชัดเจน

พอชัดเจนขึ้นมา เห็นไหม ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิมันจะเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากไหน? สมาธิเกิดจากจิต เวลาจิตเสวยขันธ์ จิตมันเสวยขันธ์ จิตมันเสวยอารมณ์ อารมณ์มันหมายไปข้างนอกมันก็เกิดความฟุ้งซ่านในใจของเรา เวลาเรามีสติ นี่เวลามีสติขึ้นมา เวลามีสติกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธมันชัดเจนขึ้นมา พอพุทโธมันชัดเจนขึ้นมา เราอยู่กับพุทโธของเรา อยู่กับพุทโธของเรา พุทธานุสติ ถ้าอยู่กับพุทธานุสติ นี่ถ้ามันพุทโธชัดเจนขึ้นไปมันก็ละเอียดเข้ามาๆ ละเอียดเข้ามาจนสู่ตัวใจของมัน สติก็เป็นสติจริง สมาธิก็เป็นสมาธิจริง ถ้าสมาธิมันเกิดขึ้นมา นี่เกิดขึ้นมาเพราะเหตุใดล่ะ

ถ้าเราซื้อวัตถุดิบของเขามา วัตถุดิบที่ซื้อมา นี่เราสั่งวัตถุดิบมา วัตถุดิบนั้นมันสมกับที่เราสั่งไหม ถ้าวัตถุดิบมันสมกับที่เราสั่งมา มีคุณภาพ ถ้าวัตถุดิบที่มีคุณภาพขึ้นมามันก็ใช้ประโยชน์ได้ตามความเป็นจริง ถ้าวัตถุดิบนั้นมันไม่มีคุณภาพล่ะ เราจะรับวัตถุดิบนั้นไว้ไหม

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธ พุทโธ พุทโธ จิตถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมา ถ้ามันมีกำลังของมัน สิ่งนั้นมีคุณภาพไหม ถ้ามันมีคุณภาพ ทำสิ่งใดมันก็เป็นประโยชน์ ถ้าไม่มีคุณภาพ ทำสิ่งใดมันมีแต่ความเสียหายทั้งนั้นแหละ นี่ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงกับความจริงมันเข้าเป็นอันเดียวกันนะ ถ้าจิตเรามีสติปัญญาขึ้นมา มันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นี่มันมีความสุข

สัมมาสมาธิทำให้จิตใจร่มเย็นเป็นสุขนะ เวลามันเร่าร้อน มันเร่าร้อนเพราะเหตุใดล่ะ เร่าร้อนเพราะความไม่รู้ไง มันไปหยิบฟืนหยิบไฟขึ้นมา มันทำขึ้นมาโดยความลวงของมัน กิเลสมันลวง ลวงแล้วไปหยิบฟืนหยิบไฟขึ้นมาก็ว่าสิ่งนี้ปฏิบัติธรรม “เราปฏิบัติธรรมขึ้นมาต้องมีความสุขสิ แล้วทำไมมีความเร่าร้อนอย่างนั้นล่ะ ก็ปฏิบัติธรรมมีความสุข”

ถ้าวัตถุดิบนั้น เวลากำหนดพุทโธ พุทโธ นี่พุทโธตามความเป็นจริงแล้วมันสงบขึ้นมามันก็เป็นความสุข แต่นี่มันพุทโธ พุทโธสักแต่ว่า พุทโธขาดสติ พุทโธแล้วให้กิเลสที่มันมีกำลังที่มากกว่ามันยุแหย่มา เวลามันคิด มันแฉลบออกไปข้างนอก เห็นไหม พุทโธแล้วมันคิดไปเรื่องอื่น คิดไปสิ่งที่มันเคยพอใจ คิดแต่สิ่งที่มันจะเอาฟืนเอาไฟมาเผาเรา แล้วเราก็ยังคิดว่าเราพุทโธอยู่ไง

นี่มีคนพูดมากว่า เขาพุทโธทั้งนั้นแหละ ทำไมเอามันไม่อยู่ พุทโธทำไมเอาไม่อยู่? ก็มันสักแต่ว่า มันทำไม่จริง แล้วทำจริงทำอย่างไรล่ะ นี่ทำจริงทำอย่างไร

นี่ปัจจัตตัง เราผิดพลาดแท้ๆ เรายังไม่รู้เลยว่าเราผิดพลาดเพราะอะไร เราทำแล้วไม่ได้ผล เราผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา เราทำแล้วเราไม่ได้สมประโยชน์อยู่ตลอดเวลา แล้วเราทำผิดอย่างไรล่ะ

นี่บารมีธรรม เวลาบารมีที่มันอ่อนแอนะ ทำผิดก็คิดว่าถูก เวลาทำผิดก็คิดว่าถูก เห็นไหม คิดว่าเราทำถูกต้อง แล้วเราทำถูกต้องแล้วทำไมมันไม่ได้ผล อย่างนี้แสดงว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่มีเหตุผลจริงใช่ไหม นี่เวลากิเลสมันยุมันแหย่มันคิดไปนู่นเลยนะ

แต่ถ้าเราทำของเราจริง มีสติปัญญาแล้วพยายามของเรา มันต้องสงบลงได้สักวันหนึ่ง ถ้าเราสงบได้สักวันหนึ่ง มันเป็นปัญญาใช่ไหมว่านี่เวลามันสงบเพราะเหตุใด แล้วถ้ามันสงบแล้วเราจะรักษาความสงบอย่างนี้ไว้ได้อย่างไร นี่ความเป็นจริงนะ ถ้าความเป็นจริงมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เหตุมันจริง ผลมันก็จริง ถ้าเหตุมันไม่จริง เหตุมันไม่จริง เราพยายามทำอยู่ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่าทำแบบนั้น เราก็ทำตามนั้นแหละ ทำตามนั้นโดยอวิชชา ทำตามนั้นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็เป็นธรรมลวง เห็นไหม ลงทุนลวงไง

สิ่งที่ลงทุนลวงมันก็ลงทุนไป แต่มันไม่เป็นความจริง มันไม่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เห็นไหม ถ้าเกิดขึ้นตามความเป็นจริง มันลงทุนจริงสิ ลงทุนจริงมันต้องมีการผลิตขึ้นมา มีการกระทำขึ้นมา แล้วสินค้ามันต้องออกไปสู่ท้องตลาด ถ้าออกไปสู่ท้องตลาด นี่มันก็จะหมุนเวียนไป เศรษฐกิจมันจะหมุนของมันไป ถ้าหมุนของมันไปมันก็ทำให้โลกเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม นี่เรื่องโลกๆ นะ

แต่เวลาเป็นธรรม เราไม่เกี่ยวกับใครเลย เวลาเราปฏิบัติขึ้นมามันเกี่ยวกับเราคนเดียว เกี่ยวกับหัวใจของเราเท่านั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติอยู่โคนต้นโพธิ์แต่เพียงผู้เดียว เวลาอยู่กับปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ แล้วก็ละล้าละลังกันมาตลอด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำทุกรกิริยามาทุกข์ยากขนาดไหน นี่ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ ปัญจวัคคีย์ก็หวังผลๆ ทั้งนั้นแหละ ทุกคนหวังความจริงทั้งนั้นแหละ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ตรัสรู้ขึ้นมาโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง

ปัญจวัคคีย์ทิ้งไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนต้นโพธิ์ นี่เวลาตรัสรู้ ตรัสรู้ขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุข เวลามันจริงขึ้นมา เวลาเสวยวิมุตติสุข มันมีความสุขนะ ความสุขเพราะอะไร ความสุขเพราะ เรานะ เวลาเราปฏิบัติ เราอยากพ้นจากทุกข์ พอเราอยากพ้นจากทุกข์ นี่เวลามีสติปัญญาขึ้นมา ปฏิบัติเมื่อไหร่หนอ กิเลสมันจะสิ้นไปจากใจของเรา ถ้ากิเลสไม่สิ้นไปจากใจของเรา เราต้องเวียนตายเวียนเกิด มันทุกข์ มันยากไปตลอด แต่เวลาเรามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา เห็นไหม ถึงมันจะต้องเวียนตายเวียนเกิด แต่มันก็ไม่เร่าร้อน ไม่ให้มีสิ่งที่มายุแหย่ สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟ “เมื่อไหร่จะได้ผล เมื่อไหร่จะได้ผล” นี่ตัณหาซ้อนตัณหา เราสลัดตรงนี้ทิ้งไป ทิ้งไป

ถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธของเราไปเรื่อย พุทโธของเราไปเรื่อย ถ้ามันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามานี่มันมีเหตุ เหตุจริง ผลมันก็จริง พอผลมันจริง มันสงบเข้ามา สงบเข้ามาแล้วมันมีความสุขแล้ว จากที่มันฟุ้งซ่าน จากที่มันมีแต่ฟืนแต่ไฟ ความสงบอันนี้ ถ้าชำนาญในวสี เราก็จะรักษาความสงบอย่างนี้ไว้ได้ ถ้าเราไม่มีความชำนาญ หรือกิเลสเวลามันพยศขึ้นมา เรารักษาความที่ให้จิตสงบอย่างนี้ไว้ไม่ได้ นี่มันเสื่อมๆ มันเสื่อมเพราะอะไร

มันเสื่อม เพราะถ้ากิเลสนะ แล้วมีสติปัญญา มันมีเหตุมีผล กิเลสมันยอมรับเหตุผลนั้น เราใช้คำบริกรรมของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา โดยกิเลสมันยอมรับเหตุผลบ้าง เราทำความสงบมันก็ได้ง่าย แต่ถ้าวันไหนกิเลสมันดื้อด้าน กิเลสมันพยายามจะข่มขี่เรา เราก็ใช้เหตุผลเดิมๆ นั่นแหละ เหตุผลที่เราเคยใช้แล้วได้ประโยชน์ เคยใช้ที่กิเลสมันยอมรับฟัง มันให้ความสงบเราได้บ้าง แต่ถ้ากิเลสมันเข้มแข็งขึ้นมานี่มันไม่ฟัง มันไม่ฟังแล้วมันยังกลับมาทำร้าย

กลับมาว่า “เห็นไหม ปฏิบัติแล้วไม่เห็นได้สิ่งใดเลย ปฏิบัติมาตั้งกี่ปีแล้ว ปฏิบัติแล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร สู้เราเลิกดีกว่า” นี่เวลากิเลสที่มันเข้มแข็งขึ้นมานะ มันมีเหตุมีผล ถ้าสติปัญญาเราดี เหตุผลนี่กิเลสมันยอมรับฟัง มันอ่อนตัวลง แต่ถ้ากิเลสมันเข้มแข็งขึ้นมา มันใช้ความคิดเหมือนกัน ความคิดที่เข้ามาทำลายความเพียรของเรา ความคิดที่เข้ามาทำลายเจตนาของเรา นี่เจตนาของเรา แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลาน สิ่งที่ได้มามันก็เสื่อมหมด แล้วถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญา เรามีอำนาจวาสนา

ถ้าเราเลิก เลิกซะดีกว่า มันก็เป็นต้นทุนเดิมที่เรามีของเราอยู่อย่างนี้ เราก็เป็นมนุษย์อยู่แล้ว เราก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น แต่เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาของผู้ที่ประเสริฐ ผู้ที่ประเสริฐ ผู้ที่มีอำนาจวาสนาถึงจะเกิดมาพบพุทธศาสนา เกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงเรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริง เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเป็นอริยสัจที่สามารถชำระล้างกิเลสให้มนุษย์นี้พ้นจากพญามาร ให้มนุษย์นี้พ้นจากกิเลสได้ ถ้ามนุษย์นี้พ้นจากกิเลสได้ เราเกิดมามีอำนาจวาสนา เราจะเอาหรือเราจะไม่เอา ถ้าเราจะเอา เรามีความพยายามของเรา เราแก้ไขของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา

ทุกคนเกิดมาบอกว่า เรานี่รักตัวรักตนทั้งนั้นแหละ ทุกคนรักตัวเอง แต่เวลาโลก ดูสิ เขาว่าเขารักตัวของเขา เขาก็พยายามทำหน้าที่การงานของเขาเพื่อเป็นเรื่องโลกๆ เพื่อดำรงชีวิตของเขาเท่านั้น พวกเราที่เห็นภัยในวัฏสงสาร เราเสียสละสิ่งที่เป็นฆราวาส เรามาบวชเป็นพระ เรามาบวชเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติเพื่อพรหมจรรย์ นี่เราทำงานอะไรล่ะ เราทำงานอะไร? เราทำงานรื้อภพรื้อชาติ ถ้าเราทำงานรื้อภพรื้อชาติ ทำงานรื้อภพรื้อชาติจะไปทำงานที่ไหน ถ้าทำงานรื้อภพรื้อชาติ มันทำงานที่หัวใจ ปฏิสนธิจิต

เพราะจิตนี้มันปฏิสนธิ การกำเนิด ๔ เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ การกำเนิด ๔ นี่การกำเนิด ๔ จิตนี้มันพาตายพาเกิด ถ้ามีการเกิดที่ไหน มันก็มีการตายที่นั่น ถ้ามันมีตัวตนที่ไหน มันก็มีความเจ็บช้ำน้ำใจไปตลอด เพราะเรามีสติปัญญาอย่างนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เราถึงมาตั้งใจทำของเรา ถ้าเราตั้งใจทำของเรา งานของเรานี่งานนามธรรม งานของโลกนะอาบเหงื่อต่างน้ำ เวลาเขาทำหน้าที่การงานกัน เขายังช่วยเหลือเจือจานกัน แต่เวลางานของเรามันเป็นนามธรรม คือความรู้สึกของเรา แล้วความรู้สึกนี่เป็นนามธรรม พอนามธรรมนี่ แล้วมันอยู่ที่ไหน พอมันอยู่ที่ไหนเราก็ไปค้นคว้า

เวลาไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ก็คือร่างกายของเรา ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันเกิดจากจิต นี่มันเป็นทฤษฎีทั้งนั้นเลย แล้วเป็นทฤษฎี เวลาจิตมันคิดตาม มันคิดตามมันก็อารมณ์นั้นน่ะ อารมณ์นั้นเทียบได้กับทุกๆ อย่าง เทียบได้กับสิ่งที่ศึกษามาทุกๆ อย่างว่ามันเป็นแบบนั้น เป็นแบบนั้น แต่เราจับต้นชนปลายไม่ได้ว่าสิ่งใดเป็นความจริง สิ่งใดเป็นความจอมปลอม ถ้าสิ่งใดเป็นความจริง สิ่งใดเป็นความจอมปลอม เราจะเกิดขึ้น เราจะเห็นได้ตามความเป็นจริง ก็เริ่มจากการเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติ

ทีนี้พอเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติ นี่เราก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช่ไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง แต่สิ่งที่เราจำได้มานี่เป็นความลวง ลวงเข้ามาเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากเรานี่มันพาลวง พอพาลวง พอปฏิบัติขึ้นไปมันก็ขัดแย้งกัน มันบอกเราก็รู้มาแล้ว พอรู้มาแล้วมันมีความเข้าใจ เวลาเริ่มต้นเจตนาจะทำดีมันก็มีความมุมานะ มีความบากบั่น พอปฏิบัติไปแล้ว พยายามค้นคว้าไปแล้วมันไม่สำเร็จผลมันก็ท้อแท้ น้อยเนื้อต่ำใจ มันก็ทิ้ง มันก็เลิกไปเลย

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เวลาเราปริยัติ การศึกษามานี่ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ แต่เรามีครูมีอาจารย์ขึ้นมา เห็นไหม เวลาพระเรามาบวชเป็นปะขาว เราฝึกฝนขึ้นมาเลย ฝึกฝนข้อวัตรปฏิบัติ ฝึกฝนข้อวัตรปฏิบัติ ที่ว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมๆ ข้อวัตรปฏิบัติ เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ กิเลสมันขี้เกียจทั้งนั้นแหละ มันขี้เกียจ มันขี้คร้าน มันไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้นเลย แต่ข้อวัตรปฏิบัตินี่พยายามฝึกฝนให้ใจ ใจนี่บังคับให้ทำๆ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ทำนี่ทำเพื่อฝึกฝนใจ พุทโธ พุทโธ คำบริกรรมเพื่อให้ใจมันสงบ นี่เวลาทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาก็ให้ใจมันขัดแย้ง มันคัดค้านทั้งนั้นแหละ

ถ้าเราทำสิ่งนี้ ทำไมเราต้องทำ คนอื่นเขาทำไม่ได้ เราบวชมาเพื่อภาวนา ไม่ได้บวชมาเพื่อเหตุนี้ เวลาจะทำอะไรก็แล้วแต่มันก็จะอ้างทันทีเลย บอกว่านี่บวชมาเพื่อภาวนานะ แต่เวลาภาวนามันก็จับต้นชนปลายไม่ถูก มันก็ภาวนาไม่ได้ แต่เวลาจะทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเพื่ออำนาจวาสนา เพื่อความสะอาดของใจ คนเราเวลาเขาจะกินอาหาร ถ้วยจานของเขา เขายังต้องล้างทำความสะอาดเลย เวลาเดี๋ยวนี้ต้องล้างมือ กินร้อนอะไรของเขานี่เพื่อโรคภัยไข้เจ็บ

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราถ้ามันมีแต่ความหยาบๆ มันมีแต่ความเคยตัวของมัน ถ้ามันมีแต่ความเคยตัวของมัน เห็นไหม เรามาฝึกหัด จากที่ว่าเราศึกษามานี่เรารู้ไปหมด...รู้นั้นมันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมของเรา แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีสติ เราฝึกฝนของเรา นี่ข้อวัตรปฏิบัตินั้นมันจะแสดงชัดเจนออกมาเรื่องหัวใจของเรา

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านบวชใหม่ๆ นะ ท่านทำสิ่งใดท่านอยู่กับพุทโธตลอด อยู่กับพุทโธตลอด จะเคลื่อนไหวก็อยู่กับพุทโธตลอด นี่กล่อมใจไว้ กล่อมใจไว้ ถ้ามันจะเป็นความจริง มันก็จะเป็นความจริงขึ้นมา นี่ข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่เป็นนามธรรมๆ มันก็อาศัย เห็นไหม ดูสิ เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราทำเพื่ออะไร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เดินไปทำไม เวลาหุ่นยนต์มันเดิน นี่หุ่นยนต์มันทำงานในโรงงาน มันเป็นหุ่นยนต์ มันทำได้ดีกว่ามนุษย์อีก แล้วมันทำแล้วได้อะไร? มันก็ได้สินค้าสิ่งที่มันทำมา โปรแกรมที่หุ่นยนต์นั้นมันตั้งมาอย่างไรมันก็ทำอย่างนั้นแหละ

มนุษย์ก็เหมือนกัน มนุษย์ถ้าเราทำอย่างนั้น เราเป็นหุ่นยนต์หรือ? เราไม่ใช่หุ่นยนต์ นี่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อต้องการรักษาใจ ต้องการเอาใจไว้ในอำนาจของเรา ถ้าเราเอาใจไว้ในอำนาจของเราได้ เห็นไหม นี่ถ้ามีเหตุมีผล สมาธิก็เป็นสมาธิจริง พอสมาธิจริงมันก็เป็นความจริงขึ้นมา นี่ธรรมะจริงๆ เกิดแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็ศีลจริงๆ สมาธิก็สมาธิจริงๆ แล้วเวลาออกฝึกหัดใช้ปัญญา นี่ออกฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าจิตมันออกรับรู้ ถ้าจิตมันออกรับรู้ มันรู้ในอะไร? รู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้ามันจับต้องได้ นี่เขาเรียกภาวนาเป็น

คนภาวนาไม่เป็นนะล้มลุกคลุกคลาน จับสิ่งใดแล้ว สิ่งที่เป็นนามธรรม ล้มลุกคลุกคลาน ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราเลย มีแต่ความทุกข์ความยาก มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของเราสักชิ้นหนึ่ง เวลาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา นั้นเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำได้หมด รู้หมด ถ้าจะวิเคราะห์วิจัยเรื่องธรรมนี่เข้าใจหมดเลย แต่เวลาจับต้นชนปลาย จะจับความเป็นจริงในใจ ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราแม้แต่ชิ้นเดียว

แต่เวลาจิตมันสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา นี่มันมหัศจรรย์ “มันเป็นอย่างนี้เองหรือ มันเป็นอย่างนี้หรือ มันมหัศจรรย์มาก” พอมหัศจรรย์มาก เห็นไหม เรารักษาไว้ เรารักษาไว้ด้วยศีล ถ้าศีลเราปกติ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลของเรานะ ศีลของเรามันด่างพร้อย ศีลของเราด่างพร้อย เวลาเราปฏิบัติขึ้นมามันวิตกกังวล ดูสิ ใจเรานะ ไม่มีสิ่งใดกวนมันนะ มันก็ดิ้นรนของมันอยู่แล้ว แล้วถ้ามันมีสิ่งใดเป็นความวิตกกังวล นี่นิวรณธรรมกางกั้นสมาธิ มันวิตกกังวล มันมีความฟุ้งซ่าน มันคิดร้อยแปดไป นี่อย่างนี้เราก็ปลงอาบัติซะ ถ้าเป็นโยมเราก็วิรัติเอา ตั้งใจใหม่ วิรัติเลย วิรัติเดี๋ยวนั้น วิรัติว่า เราจะตั้งต้น จะนับถือศีลให้ปกติตั้งแต่บัดนี้ แล้วเราก็ทำของเราไป ไม่ให้สิ่งที่มันเป็นความวิตกกังวลนี้มาทำให้เราไขว้เขว แล้วไม่ทำให้ไขว้เขว เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันปกติ ศีลปกติ เราก็พยายามทำของเรา พยายามรักษาใจของเรา

ถ้ามันสงบระงับเข้ามา นี่พิจารณา จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความรู้สึกนึกคิด แต่จิตเห็นความรู้สึกนึกคิดนี่โลกเข้าใจได้ยาก โลกเข้าใจได้ยากเพราะความคิดก็มีอยู่แล้ว เราก็เข้าใจอยู่แล้ว เราก็ตรึกอยู่แล้ว เห็นไหม นี่ธรรมะลวง

ธรรมะลวง สิ่งต่างๆ เราเข้าใจอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว มันจับต้องได้อยู่แล้ว มันจับต้องได้ มันเป็นมิติหนึ่ง มิติของโลกๆ โลกๆ นี่ตรรกะ มิตินี่มันตีความได้ มันรับรู้ได้ แต่ถ้ามันรู้จริง จิตมันสงบเข้ามามันก็มีความสงบแล้ว จิตมีความสงบนี่มีความสุขแล้ว ความสุขอันนี้เกิดจากจิตสงบ พอจิตสงบ เห็นไหม มันได้ละได้วางสิ่งที่เป็นภาระของใจ ใจนี้มันหาบหามมาไม่มีต้นไม่มีปลายนะ มันหาบหามทุกอย่างมาว่าเป็นสมบัติของมัน นี่เขาเรียกว่าสมบัติบ้า สมบัติบ้าเพราะมันไม่เป็นความจริง

นี่จิตใจนี้มันหาบหามมาตลอด แล้วเรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธก็ไปหาบหามอันหนึ่ง แต่หาบหามพุทธานุสติ หาบหามจนมันทำลายตัวมันเอง จนสิ่งที่ว่ามันหาบหามมานี่ย่อยสลายความหาบหามมา ย่อยสลายตัวมันเอง ย่อยสลาย มันเป็นอีกมิติหนึ่ง อีกมิติหนึ่งคือมิติของสมาธิ มิติของสมาธิคือว่ามันปล่อยวางธาตุขันธ์เข้ามาเป็นตัวของมันเอง มันมีความสุข มันมีความสงบ มันมีความรื่นเริง มีความอาจหาญ สิ่งที่ถ้าทำได้ขนาดนี้

เวลาเราออกฝึกหัดใช้ปัญญา ออกฝึกหัดใช้ปัญญา นี่จิต สิ่งที่มันเสวยอะไร ความคิดมันเกิดมาจากอะไร ถ้ามันเห็นกาย เห็นกายโดยวิธีการใด ถ้าเห็นกายๆ ถ้าพูดถึงกำปั้นทุบดินนะ นี่เราลืมตาเราก็มองเห็นร่างกายของคน เราลืมตานี่ ตาเนื้อมันก็เห็น นี่ตาเนื้อมันก็เห็น แล้วถ้าพูดถึงเห็นนามธรรม เห็นความคิด เราก็ตรึกได้ เห็นไหม นี่เป็นอีกมิติหนึ่ง เขาเรียกว่ามิติของโลก มิติของโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นสุตมยปัญญา แล้วถ้าจิตมันสงบเข้าไปแล้วมันใช้จินตนาการไปมันก็เป็นอีกมิติหนึ่ง มันเป็นจินตนาการ พอจินตนาการไป จินตนาการขนาดไหนมันยิ่งกว้างขวาง เห็นไหม นี่ธรรมะลวงๆ มันทำให้จิตใจไขว้เขว จิตใจนี่มันงงนะ

แล้วเราเป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ไง เราเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ใช่ไหม เราต้องการความจริง สิ่งใดที่มันเกิดขึ้นมาในใจของเรา มันไม่มีเหตุมีผลที่จะตอบใจของเราได้ สิ่งนี้เราวางไว้ก่อน จะบอกว่ามันไม่เกิดหรือมันไม่มี มันต้องมี มันมีของมันเพราะอะไร เพราะพันธุกรรมของจิต จิตที่มันได้เวียนตายเวียนเกิด มันได้สร้างคุณงามความดีของมันมา จิตนี้มีเวรมีกรรมมา ถ้าจิตที่มันคึกคะนอง จิตมันสงบแล้วมันจะรู้มันจะเห็นอะไรของมัน จิตที่สร้างบุญญาธิการมาโดยทางปัญญา ถ้าจิตสงบก็คือสงบเฉยๆ พอสงบแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป

นี่การทำต่อไป การขุดคุ้ยหากิเลสนะ ในการประพฤติปฏิบัติ การขุดคุ้ยหากิเลสมันเป็นงานอันหนึ่ง มันเป็นงาน ถ้าจิตสงบแล้วเราจะออก พยายามขุดคุ้ยหามัน เราจะดูนะ เห็นไหม โดยธรรมชาติ โดยมิติของโลก ตาก็เห็นร่างกายอยู่แล้ว เราว่าเห็นกายๆ ทุกคนก็เห็น ถ้าเห็นกายแล้วมาพูดทำไม เห็นกายๆ พูดแล้วพูดเล่า เห็นกายๆ แล้วจิตเห็นอาการของจิตก็พูดซ้ำพูดซาก

พูดอีกล้านๆ ครั้ง คนไม่เห็นมันก็ไม่เห็น คนไม่รู้มันก็คือไม่รู้ แต่มันพูดคนละมิติไง ธรรมะลวงๆ มันสร้างภาพ มันสร้างภาพว่าเห็นกายเป็นอย่างนั้น เห็นกายเป็นอย่างนั้น เพราะเรามีครูบาอาจารย์มาไง ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมา ท่านก็พิจารณากายของท่าน แล้วเวลาท่านเทศนาว่าการ พิจารณากายไปแล้วผลของมันจะเป็นอย่างนั้น เวลาพิจารณาไปแล้วมันย่อยสลายลง พิจารณาไปแล้วถ้าเราเห็นร่างกาย ร่างกายมันจะขึ้นอืดของมัน แล้วมันจะเน่า มันจะพุพองของมันไป นี่เราก็จินตนาการของเราได้

จินตนาการ นี่รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง จินตนาการไปมันก็มีความรับรู้อันหนึ่ง มันเป็นธรรมะลวง ดูการลงทุนลวง การลงทุนของโลกที่เขาพิมพ์แบงก์ออกมา เขาพิมพ์เงินออกมามันเป็นการลงทุนไหม? มันก็เป็น เพราะมันมีอัตราดอกเบี้ย มันมีภาวะเงินเฟ้อ มันมีค่าของเงินน่ะ ค่าของเงินมันก็มี

นี่ก็เหมือนกัน เราฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์มามันมีความจริงไหม? มันก็มีความจริงของครูบาอาจารย์มา เราก็ศึกษามา เราก็เล่าเรียนมา เราก็พูดได้ ในเมื่อโลกนี้เขาใช้เงินใช้ทองกัน เราก็มีเงินมีทองเหมือนกัน แต่เงินทองนี้มันได้มาอย่างไร มันได้มาด้วยความถูกต้องชอบธรรมไหม แล้วมันได้มาถูกต้องชอบธรรมแล้วมันสร้างประโยชน์สิ่งใดต่อไป ข้าวของเงินทองเราจะทำสิ่งใดเพื่อให้เป็นประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับโลก ประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับครอบครัวของเรา ประโยชน์กับหมู่คณะของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความจริง เห็นไหม เห็นกายใครก็เห็น เห็นกายนี่ทุกคนก็เห็น เห็นด้วยตาเนื้อก็ได้ เห็นโดยโลกก็ได้ แต่ถ้ามันเห็นจริงล่ะ? เห็นจริง มันสะเทือนหัวใจ จิตใจที่มันหลอกมันหลอน จิตใจที่มันอหังการว่าเรารู้เราเห็นต่างๆ พอมันเห็นสัจธรรม มันสะเทือนใจ มันสะเทือนใจ ผู้ที่เวลาจิตมันสงบเข้ามา เวลากิเลสมันหลอก พอหลอกก็วิ่งตามกิเลสมันไป เห็นไหม ธรรมะลวง กิเลสมันได้ประโยชน์ของมัน แต่ประโยชน์สัจธรรมของเรามันไม่มี เวลากิเลสมันหลอกก็วิ่งตามมันไป หลงตามมันไป พอมีสติปัญญาขึ้นมา มันสะเทือนใจนะ พอมันสะเทือนใจว่าทำไมเรายังให้กิเลสมันหลอกลวง

พอถ้าจิตมันสงบ เห็นไหม จิตสงบก็เหมือนกัน จิตสงบขึ้นมา พอมันเห็นกายขึ้นมานี่มันสะเทือนใจ สะเทือนใจเพราะอะไร สะเทือนใจนี้คืออริยสัจ อริยสัจ ถ้ามัคโค ถ้าสัจธรรมที่มันเคลื่อนของมันไป ถ้าจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา เวลาจิตมันสงบแล้วจับเวทนา เวลาจับเวทนานี่มันมีความรู้สึก แต่มันจับของมันได้ เหมือนกับทางอุตสาหกรรม ในเมื่อเตาหลอมเหล็ก ในเมื่อเขาจะขึ้นรูปของเขาขึ้นมา เขาก็มีวัตถุที่ทนความร้อนได้มากกว่า เขาทำสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาสิ่งใดก็ได้

จิต จิตถ้ามันสงบมาแล้ว จิตสงบมานะ เวลามันจับเวทนา เห็นไหม เวทนาสักแต่ว่าเวทนา เวทนาไม่ใช่เรา แล้วสักแต่ว่าเวทนา เอาเวทนามาพิจารณาได้ แต่ถ้าเราไม่มีวัตถุที่จะเข้าไปจับสิ่งที่เป็นเหล็กที่หลอมเหลว เราจะทำอย่างไร ฉะนั้น ทำอย่างไร ถ้าเราจับไปมันก็ละลายไปหมด นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเวทนาเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา มันทุกข์ไปหมดเลย มันทุกข์เพราะจิตมันไม่สงบ จิตมันไม่มีกำลัง ถ้าจิตมีกำลังนะ เวทนาสักแต่ว่าเวทนา จับเวทนาขึ้นมาพิจารณาได้ เวทนามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เวทนามันให้โทษกับเรามาอย่างไร

เวทนามันทรมานเรามา นี่สิ่งที่ไม่ชอบใจ สิ่งที่เป็นทุกข์มันทรมานเรามากี่ภพกี่ชาติ ถ้ามันทรมานมากี่ภพกี่ชาติ สิ่งใดที่มันฝังใจมา สิ่งที่ไม่ถูกใจ สิ่งนั้นสะเทือนใจเรามาก สิ่งใดที่เราพอใจ สิ่งนั้นเราก็ปรารถนาของเรามาก แล้วมันก็ไม่สมความปรารถนา แม้แต่ชาติใดชาติหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดสมความปรารถนาเลย มันเป็นไปตามเวรตามกรรม กรรมเวรของใครที่สร้างสิ่งใดมา สิ่งนั้นก็จะบาดหัวใจสิ่งนั้นตลอดไป แล้วเรามีสติปัญญา ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันเป็นอิสระ มันเป็นเอกเทศ มันเป็นความจริงขึ้นมา

เวลามันจับเวทนา เห็นไหม จับเวทนา จับจิตขึ้นมาพิจารณา มันพิจารณา พิจารณาเรื่องอะไรล่ะ? ก็พิจารณาสิ่งที่ลุ่มหลง สิ่งที่มันไม่เข้าใจ สิ่งที่ยอมจำนนกับมัน พิจารณาเพื่ออะไรล่ะ? พิจารณาเพื่อให้จิตใจนี้เป็นอิสระไง พิจารณา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา แล้วเรามีอำนาจวาสนา เราออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติเพื่อทำลายภพชาติ ทำลายสิ่งที่จิตที่มีอวิชชา มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากนอนเนื่องมากับจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ ในเมื่อมันเกิดมาแล้วมันก็เวียนตายเวียนเกิดต่อเนื่องกันไป

เราเกิดมาพบพุทธศาสนา พบพระพุทธศาสนาก็ออกประพฤติปฏิบัติก็เพื่อเหตุนี้ เหตุเพื่อให้เกิดธรรมจักร เกิดมรรคญาณเข้ามาแยกแยะ เข้ามาค้นคว้า เข้ามาทำลาย ย่อยสลายสิ่งที่ว่าเป็นนามธรรม จิตนี้ก็เป็นนามธรรม เวทนาก็เป็นนามธรรม แต่ความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมามันถึงเกิดความพอใจและไม่พอใจ เวลาจิตมันจับต้องเวทนาได้แล้วมันก็แยกแยะของมันว่าเวทนามันเกิดมาได้อย่างไร เวทนามันเป็นสิ่งใด? เวทนามันเกิดมาก็เพราะตัณหา เพราะสมุทัย มันมีสมุทัย เพราะความไม่เข้าใจมัน มันถึงเกิดความพอใจและไม่พอใจที่เข้ามาทับถมหัวใจ

พอมันแยกแยะของมัน เห็นไหม แยกแยะเพื่อเหตุใด แยกแยะนี่มันเป็นปัญญา นี่ธรรมะจริงๆ ธรรมจริงมันเป็นแบบนี้ ธรรมะจริงมันมีการกระทำขึ้นมา การกระทำเพื่อสิ่งใด? การกระทำขึ้นมาเพื่อฝึกหัดหัวใจของเราให้มันเห็นตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงแล้วมันสลัดทิ้งๆ สลัดทิ้งให้ตัวเองเป็นอิสระขึ้นมา ถ้าเป็นอิสระขึ้นมา เวลามันแยกแยะแต่ละครั้งแต่ละคราว นี่ตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราวๆ มันมีขั้นตอนของมัน

ถ้าธรรมะจริงมันมีขั้นตอน มีเหตุมีผลให้จิตใจนี้มันพัฒนาของมันขึ้นไป ถ้ามันพัฒนาขึ้นมา มันพิจารณาแล้วมันสลัดทิ้ง มันปล่อยวาง นี่ความสุขอย่างนี้ เวลาจิตสงบขึ้นมามันเป็นอีกมิติหนึ่ง มิติของสมถะ มิติของสมาธิ มิติของจิตสงบ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตสงบ สงบมาก สงบปานกลาง และสงบลึกซึ้ง ถ้าสงบลึกซึ้ง เห็นไหม ผู้ที่ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีก็บอกว่าจิตที่สงบ จิตที่เป็นความปล่อยวาง จิตที่เป็นความว่างนี้เป็นมรรคเป็นผล...นี่มันเป็นสัมมาสมาธิ นี่เป็นทุน

ดูสิ ผู้ที่มีอิทธิผล เวลาเขามีอิทธิพล เขาพิมพ์เงินของเขาออกมา เขาสร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศที่กำลังไม่เท่าเขา นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันสงบขึ้นมา ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เห็นไหม นี่เราว่าจิตสงบนี้เป็นนิพพาน จิตสงบนี้เป็นนิพพานเพราะบารมีเราอ่อน แต่ถ้าเรามีบารมีขึ้นมา จิตสงบนี่มันยังไม่ทำอะไรเลย “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” มันมีความสุขเพราะมันไม่ฟุ้งซ่าน เพราะมันไม่แบกหามภาระ ไม่แบกสมบัติบ้า มันก็มีความสุขของมัน แต่สมบัติบ้ามันอยู่ในหัวใจ สมบัติบ้านี่ ตัณหาความทะยานอยาก อวิชชามันยึดสมบัติบ้าไว้อยู่ที่จิตใต้สำนึก

ฉะนั้น เวลาจิตเราสงบแล้วเราจะพิจารณาของเรา ออกฝึกหัดใช้ปัญญาเพื่อมารื้อค้น รื้อค้นที่ว่า อวิชชา จิตใต้สำนึกที่มันยึดมั่นถือมั่นสมบัติบ้า สมบัติบ้าที่มันจินตนาการของมันอยู่ตลอดเวลา ถ้าสมบัติบ้านี่มันจะคลายออกมาของมันได้อย่างไร สมบัติบ้านี่มันจะทิ้งจากหัวใจได้อย่างไร สมบัติมันจะทิ้งจากหัวใจ เพราะมันฝึกหัดหัวใจไง นี่เห็นไหม พอจิตสงบแล้วมีความสุขขึ้นมา มีความสุขมันถึงมีกำลัง มีความสุขแล้วมันถึงเป็นเครื่องมือที่จะไปเอาสิ่งที่เป็นวัตถุที่หลอมเหลว ที่มีความร้อน ที่มันจะหลอมเหลวขึ้นมา แต่มันมีภาชนะที่มันจับสิ่งนั้นได้

จิตมันสงบแล้วมันทำของมันได้ พอจิตสงบไปแล้ว เวลามันฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา นี่ต้องฝึกหัด เขาบอกว่าจิตสงบแล้วมันจะเกิดปัญญาเอง นี่ภาวนามยปัญญามันจะเกิดขึ้นมากลางหัวใจ...มันจะเกิดมาจากไหน มันจะเกิดมาจากฟ้าหรือ เวลาจิตมันสงบขึ้นมา ผู้ที่วุฒิภาวะอ่อนแอยังบอกว่าจิตสงบนี้เป็นนิพพานเลย แล้วปัญญามันเกิดจากไหนล่ะ บอกว่าจิตสงบแล้วมันจะเกิดขึ้นมาเอง น้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา นี่นักภาวนา นี่ธรรมะลวงๆ ไง

ธรรมะลวงเพราะกิเลสมันพาให้ลวง บอกว่าจิตสงบแล้วมันจะเกิดปัญญา น้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา กิเลสมันจะวิ่งเข้ามาให้เราจัดการมันเลย...ถ้ากิเลสมันจะวิ่งมาให้เราจัดการนะ ฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาลเขาทำสมาบัติ ๘ กิเลสก็ต้องวิ่งเข้ามาให้ฤๅษีชีไพรนั้นได้พิจารณาแล้ว ไม่ต้องให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มีอำนาจวาสนาบารมีสร้างมาเต็มแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาที่สวนลุมพินี “เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่กลับมาเกิดอีก” แต่เจ้าชายสิทธัตถะยังจะต้องออกฝึกหัด เจ้าชายสิทธัตถะไปเที่ยวสวน ถึงได้ทิ้งราชวังออกมาประพฤติปฏิบัติ

เพราะบารมีเต็มอย่างนั้นถึงไม่ให้กิเลสหลอก ถึงต้องการความจริง ไม่ต้องการความจอมปลอม ไม่ต้องการหลอกลวงไง นี่ฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาล ถ้าจิตสงบแล้วปัญญาจะเกิดเอง ฤๅษีชีไพรเขาเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว เวลาเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับใคร เจ้าชายสิทธัตถะนี่เขารับประกันว่าได้สมาบัติ ๘ ได้สมาบัติเท่าเรา สอนได้ เจ้าชายสิทธัตถะไม่สนใจเลย เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากยังไม่ได้แก้ไข เหมือนกับเราทำความสงบของใจนี่ กิเลสยังไม่ได้แก้ไขสิ่งใดเลย นี่สิ่งที่ว่าจิตสงบแล้วปัญญาจะเกิดเอง...ไม่มี จิตสงบแล้วถ้าไม่เกิดปัญญามันก็เสื่อมไป

ความสงบ เห็นไหม จิตเวลามันฟุ้งซ่าน มันฟุ้งซ่านโดยสัญชาตญาณ โดยความปกติของจิต จิตมันเป็นพลังงาน ธรรมชาติที่รู้มันต้องรู้ของมันโดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติของมันแล้วแต่พันธุกรรมของใคร พันธุกรรมของคนที่หยาบก็ไปคว้าเอาแต่สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย พันธุกรรมของคนที่สร้างมาปานกลาง ก็ไปคว้าเอาความทุกข์ปานกลาง พันธุกรรมของใครที่สร้างมาด้วยความประณีต มันก็ไปเอาความเหงาความหงอยอยู่ในหัวใจ มันก็ไปสร้างฟืนสร้างไฟทั้งนั้น พันธุกรรมของใครมันก็ให้ผลตามพันธุกรรมอย่างนั้น แล้วเราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้ว มันสงบระงับเข้ามา เราฝึกหัดใช้ปัญญาตามแต่จริตนิสัย

ถ้าจริตนิสัย นี่ต้องฝึกหัด คำว่า “ฝึกหัด” ฝึกหัด จิตสงบแล้วก็ฝึกหัดตรึกในธรรม พอตรึกในธรรมนี่ ฝึกหัดมาตั้งแต่ต้น ฝึกหัดดึงจิตออกมาใช้ปัญญา พอใช้ปัญญาแล้วมันฟุ้งมันซ่าน พอใช้ปัญญาแล้ว พอใช้ปัญญาแล้วมันมีปัญญาขึ้นมา มันว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ มันก็จะไปตกอีกฟากหนึ่ง เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนเธอไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค

เวลาจิตถ้ามันยังไม่มีหลักมีเกณฑ์มันจะตกไปทางใดทางหนึ่ง ถ้าตกไปกามสุขัลลิกานุโยคก็ไปสู่ความสุขสงบระงับ เวลามันออกใช้ปัญญา มันออกใช้ทำงานไปมันก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค มันก็ทำเอาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาลนมัน นี่มัชฌิมาปฏิปทามันจะทำอย่างใดล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศน์ธัมมจักฯ สอนปัญจวัคคีย์ สิ่งนี้ที่มันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา เราจะฝึกหัดขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา

จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดบ่อยครั้งเข้าจนชำนาญ จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม จิตเห็นเพราะอะไร ถ้าไม่ชำนาญ พอจิตสงบขึ้นมามันก็รู้ก็เห็นของมัน แต่ถ้ามันใช้ปัญญา ปัญญามันตกไปข้างใดข้างหนึ่งมันก็เสื่อม มันก็ไม่มีหลักมีเกณฑ์ของมัน เราก็ฝึกหัดใหม่ เวลาเสื่อมแล้วเราก็วางไว้ เราก็ทำของเราใหม่ ทำล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน เพราะเริ่มต้นปฏิบัติมันต้องเป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ มันเป็นแบบนี้ เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญา ผู้ที่สร้างบุญญาธิการมามาก ยสะฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ หนเป็นพระอรหันต์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ ๖ ปีนะ นี่ค้นคว้าแล้วค้นคว้าอีก

สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็เป็นอำนาจวาสนาของเรา ถ้าจิตมันสงบแล้วฝึกหัดใช้ ถ้ามันเสื่อมสภาพไป ถ้ามันเสื่อมไปแล้วจับพลัดจับผลูเลยเถิดไปเราก็กลับมาทำความสงบของใจ นี่ฝึกหัดๆ ฝึกหัดใช้ปัญญาจนมันคล่องแคล่ว มันมีความชำนาญของมัน ถ้ามีความชำนาญของมัน เราพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก นี่พิจารณาซ้ำพิจารณาซากมันจะพิสูจน์แล้วว่าอะไรเป็นความลวง ถ้าเป็นความลวง เวลาใช้ปัญญาพิจารณาไปแล้วมันเก้อๆ เขินๆ มันไม่รวมลง แต่พอถ้ามันสมดุลของมัน เราจับกายอยู่ พิจารณาไปแล้วถ้ากำลังมันพอนี่มันย่อยสลาย กายนี่ผุพังไปจนไม่มีสิ่งใดต่อหน้าเลยล่ะ มันมหัศจรรย์เลย

พิจารณาเวทนา เอ๊ะ! เวทนามันก็ไม่มี แล้วเวทนามันไปไหน แล้วเมื่อกี้มันปวด มันปวดมาจากไหน แล้วมันไม่มี ทำไมมันถึงไม่มี มันพิจารณาของมัน เห็นไหม นี่ถ้ากำลังของมัน มันพิจารณาของมันจนมีความชำนาญ พิจารณาจิต จิตเศร้าหมอง จิตผ่องใส พิจารณาธรรมนี่ พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พิจารณาจนมีความชำนาญ ถ้ามีความชำนาญ มันตทังคปหาน มันปล่อยมาขนาดไหน

เริ่มต้นมาจากธรรมะลวงนะ ธรรมะลวงนี่จับพลัดจับผลูล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาแล้ว เวลาใช้ปัญญาขึ้นมาแล้ว นี่กิเลสมันไม่ไว้หน้าใคร ไม่มีสิ่งใดที่จะคมแข็ง ที่จะมีเล่ห์เหลี่ยมเท่ากับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของใจทุกๆ ดวง ใจทุกๆ ดวงมีปัญญารู้เท่าคนอื่น มีปัญญาในการศึกษา มีปัญญาในการดำรงชีวิต แต่ไม่มีปัญญารู้เท่ากิเลสเลย

กิเลสในใจของสัตว์โลก กิเลสในใจทุกๆ ดวงมันมีอำนาจวาสนาเหนือกับใจดวงนั้น ถ้ามันมีกำลังที่เหนือใจดวงนั้น แก่นของกิเลส เราพิจารณาซ้ำพิจารณาซากกิเลสมันก็ลวงมาด้วย มันเป็นอนุสัยนอนเนื่องมากับจิต เวลาพลังงานที่มันส่งออก ส่งออกมาเสวยอารมณ์ ส่งออกมาขันธ์นี่ มันมีอวิชชาตามมาด้วย แล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา

เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคญาณ มรรคสามัคคี มรรคที่มันสมควร มรรคสมดุล มันหมุนขนาดไหน มันใช้ปัญญาขนาดไหน มันชำระล้างขนาดไหน กิเลสมันก็ยังมีเล่ห์มีเหลี่ยม มันยังพลิกแพลงอยู่กับกิริยา อยู่กับการกระทำ อยู่กับพลังงานของใจ มันก็อาศัยใจ เห็นไหม ปลาอาศัยน้ำ กิเลสอาศัยหัวใจ แล้วฐีติจิตที่มันพิจารณาของมันไป อวิชชา มารมันก็อยู่กับมันด้วย เวลาถ้ามันสมดุล มันก็ปล่อย ปล่อยมันก็ไม่ยอม มันก็ไม่น้อยหน้า มันก็อาศัยสิ่งนั้นเกื้อหนุนของมัน คอยเอื้อกับความเป็นอยู่ของมัน มันก็หลบเลี่ยงอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ พอพิจารณาไปมันก็ปล่อย

ถ้าคนมีความชำนาญ มีความชำนาญ พิจารณาฝึกหัดใช้ปัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันพิจารณาแล้วมันปล่อยวางขนาดไหน ซ้ำเข้าไปบ่อยๆ ซ้ำอยู่อย่างนั้น แม้ถ้ามันจะปล่อยวางขนาดไหน ปล่อยแล้วเดี๋ยวก็มีอีก ในเมื่อยังมีเชื้อไขอยู่ คำว่า “มีเชื้อไขอยู่” พิจารณาอย่างไร เวลามันเวิ้งว้าง เวิ้งว้างนี่มันก็ตัวมันอยู่ในความเวิ้งว้างนั้น ถ้ามันจะว่าง ว่าง มันก็มีความรู้สึกว่าว่างอยู่นั้น มันว่างข้างนอก แต่ตัวมันยังคาอยู่นั่น ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะมีกำลัง มีเล่ห์มีเหลี่ยมเท่ากับกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก

ฉะนั้น การชำระล้างกิเลส การต่อสู้กับกิเลสมันถึงเป็นของสัตบุรุษ สัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนย เห็นไหม ม้าอาชาไนยมันจะกินแต่ยอดหญ้า มันจะกินอาหารแต่สิ่งที่เลอเลิศของมัน มันไม่เหมือนกับม้าทั่วไป ไม่เหมือนกับสัตว์ทั่วไป สัตว์ทั่วไปมันกินที่ไหนก็ได้ นอนที่ไหนก็ได้ มันจะคลุกฝุ่นที่ไหนก็ได้ มันเป็นธรรมชาติของสัตว์

แต่สัตว์อาชาไนยไง นี่ก็เหมือนกัน จิตที่จะมีคุณภาพ จิตที่เราจะมีกำลังของเราที่จะพิจารณาในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ในเรื่องอวิชชา ในเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันต้องมีคุณสมบัติของมัน มันต้องมีกำลังของมัน นี่สิ่งที่เป็นจริงขึ้นมา มรรคมันเป็นอย่างนี้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเหตุมีผล มีมรรคมีผล ไม่ใช่ธรรมเลื่อนลอย สิ่งที่ธรรมเลื่อนลอยนี่ธรรมะลวงๆ ทั้งนั้น ลงทุนมีแต่การเกร็งกำไร ไม่มีสิ่งใดเป็นผลผลิตขึ้นมาเลย มีแต่การเกร็งกำไรด้วยปัญญาของคน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติก็รู้ไปก่อน จะทำสิ่งใดนี่รู้หมดแล้ว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาครบถ้วนหมดแล้ว แล้วเวลาปฏิบัติไปมันมีสิ่งใดเป็นความจริงขึ้นมาจากใจดวงนั้นบ้าง แต่เราปฏิบัติของเรา นี่เรียนมาในปริยัติ เรียนมาขนาดไหน วางไว้ เวลาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์นะ ขณะที่ฟังสิ่งนี้ ธรรมะมันกล่อมใจเรา แต่เวลาเราปฏิบัติ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการมา เราเอาสิ่งนี้เป็นประเด็น เป็นประเด็นเพื่อฝึกหัดใช้ปัญญา

หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์นะ เทศน์จบไปแล้ว แต่หลวงตาท่านไปคิดอีก ๓ วัน ๗ วัน คิดให้มันสรุปให้ได้ พอสรุปแล้วยังขึ้นไปถามหลวงปู่มั่นว่าที่หลวงปู่มั่นเทศน์อย่างนั้นๆ เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า หลวงปู่มั่นท่านชมนะ ชมว่าสิ่งที่ท่านเทศน์แล้วมันยังเป็นประโยชน์กับนักปฏิบัติ หลวงปู่มั่นเทศน์นี่มันเป็นประโยชน์กับหลวงตา หลวงตาท่านยังเอาคำเทศน์ของหลวงปู่มั่นไปวิตกวิจารณ์ ไปฝึกหัดใช้ปัญญาให้ปัญญามันแทงตลอดเข้าไปสู่ใจของหลวงตาเอง เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์มันเป็นประโยชน์อย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่เวลาท่านเทศน์เราก็ฟังเทศน์เพื่อกล่อมใจเรา แต่เราปฏิบัติขึ้นมา มันต้องให้เป็นความจริงขึ้นมา นั่นเป็นของครูบาอาจารย์เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วถ้าเป็นของเราล่ะ

สิ่งที่มันเป็นกิเลสนะ มันไม่ปล่อยให้ใจเรารอดจากอำนาจของมันหรอก ฉะนั้น เวลาเราพิจารณาที่ว่ามันปล่อยๆ มันปล่อยอย่างไร นั่นมันเรื่องของ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมทั้งหลายมันเป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตานี่มันเป็นของมันอยู่ แล้วเรากำลังใช้สติปัญญาของเราใคร่ครวญเห็นตามความเป็นจริง ถ้าใคร่ครวญเห็นตามความเป็นจริง สิ่งที่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา นี่มันเกิดเฉพาะหน้า มันเป็นปัจจุบันธรรมที่เรารู้เราเห็นด้วยกำลัง ด้วยอำนาจ ด้วยวาสนา ด้วยการกระทำ ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดจากจิต จิตที่มันใช้พิจารณาของมัน มันเกิดจากการกระทำของจิตนี้ แล้วเราพิจารณาของเรา นี่มันเกิดต่อหน้า

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันยังเป็นระหว่างที่กิเลสกับธรรมมันต่อสู้กลางหัวใจของเรา ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราไม่สามารถสร้างศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา ในหัวใจของเรานี่ เราจะไม่มีธรรมะ สัจธรรม ไม่มีมรรคเข้าไปต่อสู้กับกิเลสในใจของเราเลย แต่เพราะเรามีความมุมานะ เรามีความอุตสาหะ เราถึงได้สร้างศีล สมาธิ ปัญญาเป็นมรรคญาณเกิดจากใจของเรา แล้วเข้าไปต่อสู้กับกิเลสในหัวใจของเรา สิ่งที่กิเลสในหัวใจของเรามันมีอยู่โดยดั้งเดิม มันเป็นอวิชชาพาจิตดวงนี้เวียนตายเวียนเกิดไม่มีต้นไม่มีปลายมาตลอด

ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา แล้วพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ของเราท่านริเริ่ม ท่านมีการกระทำ เพราะท่านได้สร้างอำนาจวาสนาของท่านมา ท่านถึงได้มีกำลังของใจที่สามารถเข้าไปสร้างคุณงามความดีให้เป็นสัจธรรมขึ้นมา เข้าไปต่อสู้กับกิเลสในใจของท่าน แล้วชำระกิเลสในใจของท่านเป็นชั้นเป็นตอน เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านถึงได้เอาธรรมนี้มาเจือจานพวกเรา เอาธรรมนี้มาแสดงให้เรา ให้เรามีหนทางก้าวเดินต่อไป ถ้าเรามีหนทางก้าวเดินต่อไป มีการปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นความจริงในใจของเราขึ้นมา เห็นไหม

ถ้ามันเป็นความจริง เราพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก เราอย่าไว้เนื้อเชื่อใจ การปฏิบัติ คนที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ เวลามันปล่อย มันมีความมหัศจรรย์ แม้แต่จิตสงบ เราก็มหัศจรรย์จนคาดคิดไม่ได้ เวลามันพิจารณา พอมันปล่อยนะ มันยิ่งมหัศจรรย์กว่า เพราะมันมีปัญญา แม้แต่พุทธานุสติ แม้แต่ปัญญาอบรมสมาธิ แม้แต่เพียงแค่วางสมบัติบ้ามันยังมหัศจรรย์ขนาดนั้น แล้วเวลาพิจารณาโดยมรรค มันสำรอก มันคายของมันออก แต่แก่นของกิเลสมันไม่ไว้หน้าใคร มันต้องรักษายื้อจิตนี้ไว้เป็นที่อาศัยของมัน พญามารไม่ยอมปล่อยจิตดวงใดก็แล้วแต่ให้พ้นจากอำนาจของมันเด็ดขาด

ฉะนั้น เวลาเราใช้ปัญญาขึ้นไป มันสำรอก มันคายออก แต่มาร แก่นของมารมันก็ยังรักษาสิทธิ รักษาพื้นที่ของมันไว้ ฉะนั้น เวลามันตทังคปหาน มันปล่อยวางขนาดไหน ถ้าด้วยความประมาทเลินเล่อ หรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เวลามันปล่อยแล้วเราก็ภูมิใจ พอภูมิใจ เราไม่ทำซ้ำ ไม่พิจารณาซ้ำ คือขณะที่ว่ามันปล่อยเพราะกำลังมันพอ เช่น อำนาจซื้อ เรามีเงิน เราซื้อสิ่งของได้ เรามีอำนาจซื้อ อำนาจของเราใช่ไหม แต่ถ้าเงินเรามันน้อยลง อำนาจของผู้ขาย ไม่ใช่อำนาจของผู้ซื้อ เพราะในเมื่อจำนวนเงินของเราไม่พอที่จะซื้อสินค้านั้นได้ เราจะไปซื้อสินค้านั้นไม่ได้เลย

จิต จิตเวลาภาวนาอยู่ เวลาธรรมมันเกิดขึ้นมา อำนาจระหว่างธรรมกับกิเลส อำนาจของธรรมมันเหนือกว่ากิเลส...เหนือกว่า ทำไมชำระล้างไม่ได้ เหนือกว่าทำไมกิเลสมันไม่ขาดไป อำนาจของธรรมที่มันเหนือกว่า มันพิจารณาของมัน เห็นไหม นี่พิจารณาแล้วมันปล่อย เพราะอำนาจของธรรมที่เหนือกว่า อำนาจของกิเลสที่มันต่ำกว่า มันก็หลบเลี่ยง มันหลบอยู่ในใจนั้น มันไม่สมุจเฉทปหาน ในเมื่ออำนาจของกิเลสมันน้อยกว่า เพราะอำนาจของธรรมมันสูง อำนาจของธรรมมันมีกำลังขึ้นมา มันก็เป็นระหว่างกิเลสกับธรรมที่ต่อสู้กัน

สัจธรรม ธรรมะจริงๆ มันมีเหตุมีผลของมัน ธรรมะจริงๆ นี่ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เราก็ไปภูมิใจว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้ที่มันสิ้นสุดกระบวนการของมัน เราก็ประมาทเลินเล่อ เวลามันเสื่อมมานะ เราก็ต้องเริ่มต้น เริ่มต้นตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาเพื่อให้กำลังของธรรมมีอำนาจที่เหนือกว่า แต่ถ้ามีครูมีอาจารย์ แล้วเราประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่ประมาทเลินเล่อ ในเมื่อมันมีของมันอยู่ ของมีอยู่ ของมีอยู่นี่ ความว่างเราก็รู้ ๑๐ อย่างนี่เรารู้หมด พิจารณาซ้ำๆๆ พิจารณาซ้ำเพราะมันมีกำลัง

เพราะในเมื่อธรรมมันเกิดขึ้นมา อำนาจของธรรมมันมีอยู่ใช่ไหม ทำสิ่งใดมันก็ง่าย ทำสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าอำนาจของธรรมอ่อนแอลง อำนาจของกิเลสมันมากขึ้น เวลามันพิจารณาแล้ว “ทำไมครั้งที่แล้วเราพิจารณานี่มันว่างหมด ทำไมคราวนี้พิจารณาแล้วมันไม่ก้าวเดิน ทำไมพิจารณาไปแล้ว ยิ่งพิจารณายิ่งอั้นตู้ พิจารณาไปแล้วมีแต่ความทุกข์ พิจารณาไปแล้วมีแต่หัวชนฝา”

ถ้าในการปฏิบัติมันจะมีประสบการณ์แบบนี้ ประสบการณ์ที่ปฏิบัติไปแล้ว เราปฏิบัติแล้วเราพยายามก้าวเดินของเราสืบเนื่องไป ในพระไตรปิฎกแทบทุกข้อนะ ในการประพฤติปฏิบัติที่ไม่ได้ผลเพราะการขาดความสม่ำเสมอ ขาดความสม่ำเสมอ คือเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าความเสมอต้นเสมอปลาย เราพิจารณาซ้ำเสมอต้นเสมอปลาย จนถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดนะ พิจารณาซ้ำๆ ไปมันก็ปล่อย ปล่อยก็เพิ่มกำลังมากขึ้น ปล่อยก็มีกำลังมากขึ้น เวลาพิจารณาถึงที่สุดนะ มรรคสามัคคี มรรคมันรวมตัวลง สมุจเฉทปหาน ขาดหมด

เวลามันขาดหมดนะ เวลาเราปล่อยใช่ไหม ปล่อยแล้วเรารู้ ปล่อยแล้วเราเห็น ปล่อยแล้วมีความว่าง เวลามันขาดนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตนี้รวมลง จิตนี้รวมลง มันเป็นอีกมิติหนึ่งเลย มิติ เห็นไหม ดูสิ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา...สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แต่เวลามันเป็นอีกมิติหนึ่งนะ มันเป็นอกุปปธรรม มันไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา มันเป็นไปอีกมิติหนึ่ง ถ้าเป็นอีกมิติหนึ่ง นี่ความจริง ธรรมจริงๆ มันมีเหตุมีผลของมัน ถ้ามันเป็นอีกมิติหนึ่งแล้วใครเป็นคนรู้

นี่ยถาภูตัง ญาณทัสสนะ มันรู้ เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องรู้จำเพาะตน เป็นสันทิฏฐิโก ถ้ารู้จำเพาะตนแล้ว นี่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ตามนั้น ถ้าจริงก็จริงตามนั้น ถ้าไม่จริงก็ให้เข้าป่าช้าก่อน ถ้าไปเห็นป่าช้า ไปเห็นซากศพ ไปเห็นสิ่งที่มันเป็นตรงข้ามกับความรัก ความพอใจ ไปเห็นป่าช้า ไปเห็นซากศพ สิ่งที่เราว่าใช่ๆ นี่มันจะกระเพื่อมออกมา

สิ่งที่ว่าจิต ดูสิ เวลากิเลส ที่ว่าแก่นของกิเลส ถ้าเราพิจารณาไปแล้วมันปล่อย มันปล่อยขนาดไหนี่มันยังอยู่นะ มันไปเห็นของที่มันเป็นของแสลง นี่มันไหวทันที มันจะไหวของมันออกมา ถ้าไหวออกมา นั่นไง มันไม่ใช่ แต่ถ้ามันใช่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ตามนั้น

ฉะนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องรู้ตามความเป็นจริง ต้องเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกตามนั้น แล้วครูบาอาจารย์ท่านถึงพยากรณ์ตามนั้นๆ ถ้าตามนั้นมันก็เป็นความจริง เห็นไหม ธรรมะจริงๆ เกิดขึ้นมาจากความวิริยะ ความอุตสาหะ เกิดขึ้นจากการกระทำ เราปฏิบัติของเราโดยกำลังของเราโดยสุดความสามารถ อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ อย่าตีโพยตีพาย สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราก็คือกรรมของเรา เราเป็นคนสร้างมาเอง คนที่สร้างกรรมดีมาก็จะมีสติมีปัญญารักษาตัว คนที่ไม่ได้สร้างกรรมดีมา ตีโพยตีพายแล้วประชดชีวิต ชีวิตนี้เป็นของเรา เราประชด ใครเป็นคนรับผิดชอบชีวิตนี้ เราประชดชีวิตนี้ เราก็เท่ากับทำลายตัวเราเอง

ฉะนั้น ถ้าเราไม่ตีโพยตีพาย สิ่งที่เราทำกันอยู่นี้เราทำมาเองทั้งนั้น กรรมทำให้เรามาเกิด กรรมทำให้จิตของเราเป็นแบบนี้ แล้วเรากำลังจะมาแก้ไข จะมาประพฤติปฏิบัติให้ใจเราพ้นจากอวิชชา ให้ใจเราประสบความสำเร็จในการประพฤติปฏิบัติของเรา เอวัง